ตุ๊กแกรักแป้งมาก หนังวัยรุ่นน่ารัก ของปีที่ “เพื่อนต้องชวนเพื่อนดู”
ตุ๊กแกรักแป้งมาก
หนังวัยรุ่นน่ารัก ของปีที่ “เพื่อนต้องชวนเพื่อนดู”
ช่วงปีนี้ หลังจากที่พี่มากสร้างปรากฎการณ์เอาไว้แบบชนิดที่เรียกว่า ตัวเลขเดินหน้าเกินกว่าที่เราคาดคิด หลังจากนั้นถ้าไม่นับหนังแห่งสยามประเทศ(พระนเรศวร ภาค5) วงการหนังไทยก็ค่อนข้างเงียบเหงาพอสมควร จริงๆแล้วก็แอบเห็นใจอยู่เหมือนกัน เนื่องจากเป็นช่วงที่หนังต่างประเทศแต่ละเรื่องเข้ามาเรียงแถวเก็บสัดส่วนของโรงหนังไปซะเกือบหมด
ทำให้พื้นที่ของหนังไทยลดลงเหลือ การฉายเพียงแค่โรงเดียว หรือบางเรื่องจำกัดรอบเสียด้วยซ้ำ ซึ่งอันนี้จะว่าๆต้องน้อยใจรึเปล่า ก็คงต้องบอกว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกการตลาดน่ะครับ ถ้าเกิดว่าเรื่องไหน ไม่เป็นกระแสหลัก อันนี้ก็ต้องยอมรับว่า ความจำเป็นในการใส่โรงฉายก็น้อยเป็นเงาตามตัว
แต่ถ้าเรื่องไหนที่เป็นหนังที่ดี แม้ว่าจะไม่เป็นกระแสหลัก แต่ก็่สามารถฝ่าฟันทำรายได้และคงยืนยาวอยู่ได้ ตัวอย่างของหนังเรื่องนั้นในปีนี้ก็เห็นจะได้แก่ “Begin Again” ซึ่งเป็นหนังกระแสรองที่วิ่งมาเป็นกระแสหลักเพราะปากต่อปาก เชื่อมั้ยว่า ตอนนี้เวลาผ่านมาเป็นเดือนแล้ว เรื่องนี้ยังคงฉายอยู่ในโรงหนังอยู่เลย ทั้งๆที่หนังกระแสหลักที่เข้าพร้อมกันถูกเด้งไปแล้ว
สาเหตุที่ร่ายมาซะยาวเลย เนื่องจากมีความรู้สึกว่า “ตุ๊กแกรักแป้งมาก” ดูแล้วรู้สึกเหมือน “Begin Again”เลย
ที่บอกว่าเหมือนไม่ใช่ว่าเนื้อเรื่องเหมือนหรือว่าทำหนังเพลงอะไรยังงั้น แต่ว่า เป็นหนังที่มี Poster หรือว่า Trailer ที่ดูธรรมดา หรืออาจจะเป็นเพราะชื่อหนังที่เรียกได้ว่า “กล้ามาก” ที่เอาตุ๊กแกขึ้นเป็นชื่อหลัก เพราะแค่การที่จะค้นหาทาง Internet ก็ดูน่ากลัวสำหรับคนส่วนใหญ่ที่กลัวตุ๊กแกอยู่แล้ว
ประมาณว่า อย่างน้อย การค้นหาทาง Internet โดยพิมพ์คำว่า ตุ๊กแก มันจะต้องเจอภาพตุ๊กแกที่ไม่พึงประสงค์ออกมาแน่นอน ซึ่งถ้าเกิดว่าอยากค้นหาแล้วเจอเรื่องนี้จริงๆ อาจจะต้องพิมพ์แบบเต็มๆเลย คือ “ตุ๊กแกรักแป้งมาก”
แต่สิ่งที่เหมือนคือ เป็นหนังที่ต้องลุ้นในเรื่องของการทำรายได้ ต้องพึ่งการใช้กระแสปากต่อปาก เพื่อชวนกันไปดู เรียกได้ว่าการ Promote ทางสื่อต่างๆดูแล้วอาจจะไม่ช่วยเท่าไหร่ แต่ถ้าเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จ ให้รู้ไว้เลยว่า
“เพื่อนชวนเพื่อนดู”
ความเป็นเอกลักษณ์ของหนังที่ “ยุทธเลิศ สิปปภาค” ทำคือ ทุกเรื่องมันจะมีความตรง ใช้คำที่ไม่เสแสร้ง สื่อแล้วเป็นตัวของตัวเองมาก โดยทุกเรื่องจะมีกลิ่นไอของความเป็นศิลปากรอยู่เยอะ ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่หลายคนชอบเพราะมันสวยงามอยู่เหมือนกัน มุกที่ใช้ในหนังของยุทธเลิศ ไม่ใช่มุกไก่กา ขายกันทั่วไป แต่เป็นมุกที่ฟังเดี๋ยวนั้น แล้วขำเดี๋ยวนั้นเลย ซึ่งนี่เป็นเสน่ห์อย่างมาก เป็นตลกแท้ๆที่ไม่ต้องมานั่งใส่คำผวนไปมาให้วุ่นวาย
หนังเรื่องแรกที่ทำให้เรารู้จักกับตัวตนของยุทธเลิศ นั้นไม่ใช่เรื่อง “มือปืนโลกพระจัน” แต่เป็นเรื่อง “รักออกแบบไม่ได้” หรือ O-Negative แต่เรื่องนั้น ยุทธเลิศ ไม่ใช่คนกำกับ แต่เป็นเพียงคนเขียนบทเริ่มต้น ซึ่งทางบริษัทผู้สร้างไม่ยอมให้เค้าทำเอง เนื่องจากอาจจะยังมีความรู้สึกว่า ยังเก๋าไม่พอ อันนี้ก็ว่ากันไป
แต่โดยเส้นเรื่องแล้ว O-Negative เป็นหนังที่ดูในโรงแล้วธรรมดา ชอบพอประมาณ แต่พอกลับเข้าไปที่บ้าน เดินไปเดินมา ทั้งเพลงและเรื่องมันวนเวียนอยู่ในหัว ซึ่งหนังประเภทนี้เราพบไม่บ่อยนัก แต่อยากให้มีเยอะๆ
นานแล้ว ที่พยายามหาเรื่องที่สามารถทำได้ รอแล้วรออีก ในที่สุด คือมาเจอในเรื่อง “ตุ๊กแกรักแป้งมาก” ซะที หนังที่ยุทธเลิศ สามารถสร้างให้มันวนเวียนอยู่ในความรู้สึกได้
ยุทธเลิศ เป็นคนเขียนบทที่ไม่ได้มี Concept นำหน้า ดูหนังเค้าแล้วจะรู้สึกว่า เค้าเอาความรู้สึกเดี๋ยวนั้นเลยเขียนมันออกมา พยายามเล่า ถ่ายทอดให้ดีที่สุด อันนี้ก็ว่ากันไป แต่ถ้าเมื่อไหร่เค้าเอาประสบการณ์ความเป็นตัวเองที่ผ่านมาเข้าไปเขียนแกมหยอกกับหนังเข้าไปด้วยแล้ว ไม่รู้เป็นอะไร หนังเรื่องนั้นจะมีกลิ่นไอที่มีเสน่ห์อยู่ด้วยทุกที
หนังเล่าถึง “ตุ๊กแก” เด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งในยุคสมัยของการทำทรงผม ที่วัยรุ่นต่างเชิดชู “หนุ่ย อำพล ลำพูน” จากเรื่อง “น้ำพุ”
ตุ๊กแก จริงๆแล้ว เป็นเด็กที่ชอบวาดรูปตามประสา ถ้าเกิดว่าย้อนไปสมัยนั้นแล้ว (วัยรุ่นสมัยนี้อาจจะไม่เข้าใจ) การเขียนรูปภาพหน้าโรงหนังนั้น เป็นอาชีพที่เด็กวาดรูปทุกคนอยากทำ มันเหมือนเป็นการเขียนภาพที่ท้าทายและได้โชว์ฝีมือให้กับคนทั่วไป จริงๆแล้วมันเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเลย ซึ่งเด็กสมัยนี้อาจจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ ในยุคที่ Photoshop ได้ครองโลกไปแล้ว
จริงๆแล้วก็เป็นเด็กคนหนึ่งนั่นล่ะ ที่วาดรูปไปเรื่อย แต่คราวนี้ดันไปแอบรักกับเด็กข้างบ้านคนหนึ่ง ชื่อ “แป้ง” ซึ่งแป้งมีความฝันที่อยากเป็นดาราตามประสาเด็กหญิงทั่วไป แต่เจ้าตุ๊กแกดันไปใจใหญ่ บอกว่า จะเขียนรูปของแป้งให้ใหญ่ที่สุดอยู่หน้าโรงหนังเลย ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ มีทางเดียวเท่านั้นเลย คือ ต้องเป็นผู้กำกับเอง จากนั้นมา ความฝันก็ใหญ่ขึ้นทันที
ตุ๊กแกพยายามหาคำตอบในการทำงานโดยอยากที่จะเป็นผู้กำกับ เขียนบทหนังทั้งหลาย ซึ่งสุดท้ายก็มารู้ตัวเองว่า จริงๆแล้ว แรงบันดาลใจโดยแท้จริงนั้น ทำเพื่อใคร ทุกอย่างจึงถูกย้อนกลับมาทบทวนถึงจุดเริ่มต้น และเริ่มทำความฝันอีกครั้ง
ตัวหนังดำเนินเรื่องได้ตามแนวความคิดที่วางไว้เลย คือ “น่ารัก” ตอบทุกอย่างอย่างจริงใจไปเรื่อยๆ ดูแล้วเหมือนยุทธเลิศ กำลังค่อยๆเล่าเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมา ค่อยเป็นค่อยไป
โดยการค่อยๆปูเรื่องราว เอาตัวเพลงและของเล่นต่างๆเพื่อทำให้คนดูค่อยๆย้อนไปในความทรงจำพร้อมๆกัน ถ้าเกิดว่าคนที่อยากดูหนังเรื่องนี้แล้วต้องการที่จะให้มีจุดพีคที่เรียกได้ว่าซึ้งแบบเต็มที่ แบบประมาณว่ากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ รับรองว่าดูเรื่องนี้แล้วต้องผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะนั่นไม่ใช่ Style ของหนังที่เรียกตัวเองว่า “น่ารัก”
หนังน่ารัก ในความรู้สึกคือ หนังที่ดูแล้วมีจุดเรียกน้ำตาอยู่เรื่อยๆ ปนกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ที่ไม่ต้องมานั่งรอให้ถึงตอนท้ายของหนัง
ความน่ารักของหนังคือ “จังหวะ” ที่สลับไปสลับมา ยังไม่ทันปาดน้ำตาเลย ต้องหัวเราะซะแล้ว
จริงๆแล้ว ความน่ารักของหนังเรื่องนี้ที่มีเสน่ห์อย่างมากคือ การขมวดปมต่างๆของเรื่องทั้งหมด แล้วคลายตัวออกมาแบบใสๆ ดูแล้ว ไม่รู้สึกเลยว่าเรื่องมีตัวร้ายหรือคนที่ทำให้ขัดต่อความรู้สึก ดูแล้วทำให้ย้อนเวลาเหมือนกลับไปดูหนังรักแบบใสๆ วัยระเริง
ก่อนไปดูเรื่องนี้ สิ่งที่อยากให้บอกตัวเองเลยคือ “อย่าคาดหวังว่ามันจะดี”
ให้ไปดู เพราะอยากไปดูหนังที่มีความรู้สึก หนังที่ทำให้เรานึกถึงสิ่งดีๆของชีวิตได้
หนังที่ดูแล้วออกมากินข้าว แล้วความรู้สึกดีๆวนเวียนอยู่ในหัว
พูดเหมือนหนังอย่างนี้ทำง่าย ซึ่งจริงๆ ยากนะ
ถ้า “แฟนฉัน” คือ Masterpiece ของทางฝั่ง GTH
นี่ก็น่าจะเป็น Masterpiece ของ ยุทธเลิศ สิปปภาค
ชอบครับ ทำออกมาอีกเยอะๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น