ถามตอบ-ปัญหาสถาปัตย์-พี่ครับ ผมสงสัยว่าสถาปัตย์ในแต่ละมหาลัยมีข้อแตกต่างกันอย่างไรครับ
ถามตอบ-ปัญหาสถาปัตย์-พี่ครับ ผมสงสัยว่าสถาปัตย์ในแต่ละมหาลัยมีข้อแตกต่างกันอย่างไรครับ
จดหมายคำถาม
พี่ครับ ผมสงสัยว่าสถาปัตย์ในแต่ละมหาลัยมีข้อแตกต่างกันอย่างไรครับ คืออยากรู้ว่าในแต่ละที่ออกแนวการสอนอย่างไร เน้นกระบวนการคิด การนำเสนอ วิชาการที่แตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน และจบไปจะมีโอกาศทำงานที่แตกต่างกันมั้ยหรืออยู่ที่ตัวเรามากกว่าครับ
ตอบคำถาม
ความจริงแล้วแต่ละมหาลัยนั้น ถ้าจะให้เน้นเรื่องอะไร มันอาจจะเป็นการสรุปอย่างรวดเร็วไปหน่อย ประมาณว่า ถ้าเราอยากเน้นความสามารถทางด้านวิชาโครงสร้างตามที่มหาลัยบางมหาลัยนั้นมีหลักสูตรเยอะเป็นพิเศษ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า นักศึกษาที่จบจากมหาลัยแห่งนี้ ต้องเป็นคนที่มีพื้นฐานความเก่งทางด้านโครงสร้างโดดเด่นกว่าที่อื่นอย่างแน่นอน
ถ้าเราจะสรุปอะไรอย่างนั้น มันอาจจะเป็นการสรุปแบบฮ้วนเกินไปครับ ความจริงแล้ว ลักษณะเด่นของในแต่ละมหาลัยนั้น พี่มีความรู้สึกว่า จริงๆแล้ว หลักสูตรก็มีอิทธิพลเหมือนกัน แต่นอกเหนือไปกว่านั้น เอาจริงๆนะครับ คือ “สังคม” มากกว่าน่ะ เพื่อนๆแนวทางของรุ่นพี่ มันจะพาเราไปยังจุดต่างๆครับ
แต่ก็นั่นล่ะ ถ้าจะให้เน้นมาที่ว่าทางไหนเป็นทางที่มหาลัยเหล่านั้นมีความโดดเด่นขึ้นมา (จริงๆแล้ว การเขียนบอกลักษณะนี้ อาจจะเป็นข้อความล่อเป้าให้เกิดการถกเถียงได้มากเหมือนกันนะครับ เนื่องจากพี่ว่ามันเป็นเรื่องของทัศนคติล้วนๆเลยน่ะครับ ขนาดพูดกับเพื่อนที่อยู่มหาลัยเดียวกัน ยังแตกต่างกันเลยครับ)
อย่างที่พี่บอก ถ้าเราจะเอาหลักสูตรต่างๆมาวัดกันจริงๆ ก็ยากที่จะบอกครับ เอาเป็นว่าเพื่อความสบายใจ พี่ขอเน้นเลยนะครับว่า สิ่งที่อ่านนั้นเป็นทัศนคติของพี่เองล้วนๆเลยครับ โดยพี่จะเอาประสพการณ์ที่พี่มีทั้งเพื่อนๆที่ทำงานด้วนกันที่มาจากหลากหลายมหาลัยที่จบกันมา และจากน้องๆที่เคยสอนเคยติวไว้ จนผ่านช่วงเวลาแห่งการเรียนในมหาลัยแล้วเกือบๆ จะจบกันมา เอางานและความสามารถของเค้ามาเน้นให้ฟังละกันนะครับ
มหาลัยที่พี่จะเน้นนั้นพี่เอาเฉพาะมหาลัยที่พี่มีข้อมูลทางบุคคลก่อนละกันนะครับ อาจจะไม่ได้ครบทุกมหาลัยครับ (ขออนุญาตเรียกชื่อมหาลัยแบบย่อๆ ตามที่เราๆเรียกกันสั้นๆนะครับ)
1.จุฬาฯ
มหาลัยทรงคุณค่าอันดับคะแนนมาเป็นที่1 ของทุกยุคทุกสมัย สิ่งที่เป็นลักษณะเด่นเลยของที่นี่คือ “ความงามทางการออกแบบ” โดยที่นี่นั้นเน้นการเรียนที่เอาศาสตร์ของความงามนั้น เค้นออกมาเป็นขั้นเป็นตอน เป็นทฤษฎีต่างๆมากมาย
การเรียงรูปร่างและรูปทรงต่างๆนั้น มีที่มา และอาจารย์ที่นี่เค้าให้ความสำคัญกับตรงนี้อย่างมาก ดังนั้น ความงามที่สามารเรียบเรียงออกมาเป็นเหตุและผลได้อย่างชัดเจน นี่น่าจะเป็นสิ่งที่โดดเด่นของมหาลัยนี้ครับ
2.ศิลปากร
แน่นอน ความเป็นศิลปากรอย่างที่เราๆท่านๆรู้อยู่ก็คือ “ศิลปะที่ออกมาจากความรู้สึก” เพราะเป็นมหาลัยที่มีพื้นฐานมาจากความเป็นช่างศิลป์ กำเนิดมาจากความเป็นจิตกรรม แต่ความเป็นสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ถือกำเนิดขึ้นทีหลัง โดยพระพรหมพิจิตรนั้น ท่านก็ได้เน้น หลักสูตรไปที่ศิลปะสถาปัตยกรรมที่เน้นความเป็นไทย
โดยที่ตัวท่านนี่แทบจะเป็น “บิดาแห่งโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กในสถาปัตยกรรมไทย” ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ดังนั้น การเน้นไปที่ความติดดิน การเน้นไปที่การเข้าวัด ลอกลายไทย เน้นความรู้ความสามารถของสถาปัตยกรรมไทยทั้งวัด และบ้านเรือยไทย ก็เป็นอีกอย่างที่เด่นชัดที่นี่ครับ
น้องคนไหนที่ต้องการแบบว่าลงสีน้ำเยอะๆ แบบงานหนึ่งชิ้น เข้าไปวาดในวัดในโบสถ์จริงๆเลย พี่เน้นว่า ก็น่าจะชอบที่นี่ครับ
3.พระจอมเกล้าลาดกระบัง
ถ้าเกิดว่า ศิลปากรมีพื้นฐานมาจากความเป็นช่างศิลป์แล้ว ที่นี่ ก็มีพื้นฐานมาจากความเป็นช่างเหมือนกัน แต่ว่าแตกแขนงออกมาจากวิศวะครับ
อย่างที่เราๆท่านๆรู้กัน เป็นสถาบันที่ค่อนข้างมีโรงปฏิบัติการโดยรวมและมีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ รวมถึงความหลากหลายด้วย เนื่องจากคณะสถาปัตยกรรมของที่นี่นั้น มีพื้นฐานทางพื้นที่ที่ค่อนข้างได้เปรียบกว่าที่อื่น (โดยเฉพาะศิลปากรที่พื้นที่เล็กมาก)
หลักสูตรของที่นี่นั้น ความจริงแล้วไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากศิลปากรเท่าไหร่ แต่มีที่ต่างอย่างชัดๆเลยคือ วิชา”โครงสร้างทางสถาปัตยกรรม” ซึ่งเป็นวิชาที่เด็กๆมักเรียกกันว่า “Construction” หรือย่อๆกันว่า “Con”
ที่นี่นั้นเค้าจะเรียนวิชานี้ทุกเทอม ขอเน้นนะครับว่าทุกเทอมเลย แล้วแต่ละเทอมนั้นก็จะประกอบด้วย ภาคปฏิบัติ70% ซึ่งส่วนนี้ัน้นเป็นส่วนที่ต้องส่งงานทุกอาทิตย์ ถ้าเกิดว่านักศึกษาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่องานที่ต้องส่งอยู่แล้ว โอเค อาจจะไม่ได้เก่งขนาดที่เรียก A ได้ทุกอาทิตย์ แต่มีความตั้งใจและความรับผิดชอบ
เท่านั้น ส่วนนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ส่วนที่ทำให้มีปัญหานั่นคือ ส่วนที่ 2 คือ การสอบข้อเขียนปลายภาค ส่วนนี้เค้าจะเก็บคะแนน 30% แต่ว่าจะแบ่งตัวข้อสอบออกเป็น 5 ส่วน โดยที่จะหารถัวเฉลี่ยๆกันไป แต่ที่สำคัญคือ ต้องทำข้อสอบของอาจารย์ที่ออกให้ได้ทุกคน ถ้าเกิดว่ามีของคนใดคนหนึ่งที่ทำไม่ผ่านแล้ว ก็อาจจะโดยปรับตกได้
ถ้าเป็นวิชาอื่นนั้น โดนปรับตก พี่ว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก ประมาณว่า ช่วงปิดเทอมหรือว่าเทอมต่อไป ก็อาจจะมานั่งเรียนซ้ำหรือว่าปรับแก้กันได้ แต่ถ้าเป็นที่นี่ เนื่องจากว่าวิชานี้นั้นมีทุกเทอม มันก็เลยเป็นการยากที่จะไปลงซ้ำซ้อนในเทอมต่อไป ดังนั้น ตกครั้งเดียวนั่นหมายความว่า เราจะไม่เรียนจบ 5 ปีตามหลักสูตรทันทีครับ
เราจะเดินหน้าเข้าสู่การเรียน 6 ปีทันทีครับ ซึ่งถ้าเกิดว่าน้องเป็นคนที่เพิ่งเข้าไปเรียนได้ปีเดียวเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้ว ก็จะซิ่วไปเลย เพราะว่ายังไงซะก็มีค่าเท่ากันครับ คือจบ6 ปี
และแน่นอน สิ่งที่เหล่าคนทั่วๆไปเค้าจะตั้งความหวังเอาไว้สำหรับสถาปนิกที่เรียนจบที่นี่คือ ความเก่งทางด้านโครงสร้างมากๆ
4.เกษตรศาสตร์
เชื่อมั้ยคับว่า เมื่อวานนี้ มีผู้ปกครองหลายท่านโทรเข้ามาคุยกับพี่เรื่องของการเลือกมหาลัยให้กับลูกหลาน พอพี่พูดถึงมหาลัยเกษตรนั้น ผู้ปกครองค่อนข้างไม่มั่นใจ ประมาณว่า มหาลัยเกษตรนั้นคณะนี้เค้าเพิ่งก่อตั้งขึ้นมา
คือ พี่ต้องรีบอธิบายเลยว่า จริงๆแล้ว เค้าเปิดสอนมาตั้งแต่ 2537 แล้วนะครับ แต่ช่วงนั้น เค้าเรียนกันภายใต้คณะวิศวะน่ะครับ ความเป็นสถาปัตยกรรมเลยมีความเป็นลูกครึ่งวิศวะมากกว่าชาวบ้านน่ะครับ แต่พอมาถึงช่วงปี 2543 เค้าก็มีความแข็งแกร่ง โดยที่สามารถแยกตัวเองออกมาเปิดเป็นคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์อย่างเต็มรูปแบบได้
ไม่ต้องห่วงครับ รุ่นพี่รุ่นน้องของที่นี่นั้น มีพื้นฐานความมั่นคงมากทีเดียว และสำหรับตัวพี่นั้น พี่ว่าเป็นมหาลัยที่น่าจับตามองมากครับ เพราะด้วยนักศึกษาที่เข้าไปนั้น สำหรับพี่เองเอาประสบการณ์ตรงเลยนะครับ ก็เก่งๆกันทั้งนั้น
และหลักสูตรการเรียนก็ค่อนข้างเปิดกว้าง โดยที่พี่เห็นว่าเค้าจะเน้นไปที่การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานทำให้เกิดความยั่งยืนน่ะครับ โดยที่อาจจะเอาเศษวัสดุต่างๆเข้ามาศึกษาโดยที่เน้นไปที่ความเข้ากับสภาพแวดล้อมด้วย จริงๆแล้ว ก็มีความเป็นวิทยาศาสตร์เอาเข้ามาผสมกับความเป็นศิลปะได้อย่างโอเคเลยนะครับ
5.พระจอมเกล้าธนบุรี (บางมด)
ที่นี่นั้น บอกก่อนว่าแตกต่างจากมหาลัยและสถาบันก่อนหน้านี้ตรงที่ เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนแบบนานาชาติ ซึ่งพอพูดอย่างนี้แล้ว หลายคนอาจจะเริ่มเอาละ ไม่น่าจะเข้าได้ แต่พี่ว่า ลองมองดูซักหน่อยนะครับ เพราะว่าพี่ว่าเค้าไม่ได้เครียดเรื่องของภาษาอย่างที่คิดน่ะครับ
เอาเป็นว่ามีความรู้ทางเรื่องของภาษาพอประมาณ แล้วคะแนนอาจจะใกล้เคียงกับที่เค้าอยากจะรับ อันนี้เราสามารถไปลงเรียนภาษาอังกฤษของเค้าเพิ่มเติมได้ก่อนเข้าครับ
ความแตกต่างอีกอย่างของที่นี่คือ การเปิดรับนักศึกษาที่มาหลายรอบและเป็นช่วงๆน่ะครับ จริงๆแล้ว ทำให้คนที่ไปสอบ ไม่ได้เครียด ประมาณว่าถ้าสอบได้จ่ายค่าเทอม ที่เหลือก็รอเรียนได้เลยน่ะครับ ต่างจากที่อื่นที่เปิดปีละ 1 รอบ ความกดดันคนละระดับกันเลยครับ
การเรียนของที่นี่นั้น ปีแรกๆจะต่างจะต่างจากของที่อื่นเลย เพราะว่าเค้าจะเน้นไปที่การเรียนเกี่ยวกับพื้นฐานจริงๆ ค่อยๆเรียนกันไป โดยที่ไม่ได้เน้นความหนักหน่วงอย่างที่อื่น ประมาณว่ามีเวลาเดินเล่นได้สบาย จากนั้น เค้าจะค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆในปีถัดไปครับ
ส่วนที่เน้นของที่นี่น่าจะเป็นการออกแบบที่เน้นในรูปแบบของแนวความคิดน่ะครับ แนวความคิดต่างๆรูปแบบกัน โดยที่เอาความเป็นศิลปกรรมเข้ามาจับด้วย แล้วอีกอย่างที่พี่พบเห็นได้นะครับ จากเพื่อนๆที่จบมาก็น่าจะเป็นทักษะทางคอมพิวเตอร์
6.ธรรมศาสตร์
ถ้าอ่านมาถึงข้อนี้แล้ว ทุกที่ๆพี่เขียนถึงนั้น ที่นี่แหละครับ เป็นคณะที่เรียกได้ว่าน้องใหม่ที่สุด แต่โดยรวมก็เปิดมาตั้งแต่ 2542 แล้วนะครับ
ซึ่งเป็นคณะที่เรียกได้ว่า มีคำถามมาตั้งแต่เรื่องของเวลาในการเรียนตลอดหลักสูตรมาแล้ว เพราะว่าภาควิชาหลักนั้น อาจจะต้องเรียนกันถึง 6 ปี และเรียนที่ธรรมศาสตร์รังสิตนะครับ
โดยถ้าเราอ่านชื่อของคณะของที่นี่เต็มๆนั้น คือ “คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง” (Faculty of Architecture and Planning) โดยเค้าอาจจะไม่ได้เน้นในเรื่องการวาดเท่าไหร่นัก โดยอาจจะมีการเน้นไปที่เรื่องของการมองภาพรวมของระบบการก่อสร้างหรือว่าระบบอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งเพื่อนๆพี่ที่จบมานี่ก็สามารถเข้าเรียนและทำงานได้ตามปกติครับ แต่ส่วนใหญ่เท่าที่เห็นการจะไปเน้นทางสายงานของบริษัทอสังหาริมทรัพย์กันครับ คือ อาจจะเป็นสถาปนิกที่ดูแลในเรื่องของแนวความคิดของโครงการ ก่อนที่จะเกิดการจัดจ้างไปสู่บริษัทออกแบบอีกทีหนึ่งน่ะครับ
7.เชียงใหม่
จริงๆแล้ว พูดถึงมหาลัยเชียงใหม่นั้น พี่เรียกง่ายๆว่า ที่นี่คือมหาลัยจุฬาของทางภาคเหนือนั่นเองครับ แน่นอนความมีเสน่ห์ของที่นี่คือ “ความเป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น”
ความน่ารักของเมือง ความติดดิน เสน่ห์ของเชียงใหม่ ความเป็นธรรมชาติ การเน้นวัสดุพื้นถิ่นเข้ามาในงานต่างๆ จากเพื่อนๆที่พี่ร่วมงานมา ก็จะมีความสามารถในการหารายละเอียดของชิ้นงานได้เก่ง
******
อย่างที่พี่บอกข้างต้นนะครับ การที่เราจบในแต่ละมหาลัยนั้น ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเก่งอะไรอย่างนั้นตามที่มหาลัยนั้นเค้าเน้น เพราะพี่ว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความชอบโดยส่วนตัวของบุคคลน่ะครับ
บางคนอยู่ในมหาลัยเทคโนโลยี ก็อาจจะชอบความเป็นพื้นถิ่นโดยส่วนตัวเป็นพิเศษ ทำให้งานที่ทำออกมามีความเข้าใจในความเป็นพื้นถิ่นสูง เมื่อเค้าเรียนจบ เค้าอาจจะไม่เก่งโครงสร้างแต่อาจจะเก่งพื้นถิ่นมากกว่าคนที่จบมหาลัยที่เน้นมาทางนั้นโดยตรงก็ได้ครับ
ส่วนเรื่องของตลาดงานนั้น ยากที่จะบอกครับ พี่ว่าเค้าไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้นครับ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและผลงานของคนที่เข้าสมัครครับ
พี่นัน นันทวัชร์ ชัยมโนนาถ
www.alepaint.com
https://www.facebook.com/kmitlarch
https://www.facebook.com/alepaint
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น