ติวสถาปัตย์-“พี่คะ หนูอยากเก่ง” “พี่ครับ ผมอยากเก่ง”
“พี่คะ หนูอยากเก่ง”
“พี่ครับ ผมอยากเก่ง”
คำๆนี้จะถูกได้ยินเสมอซึ่งมาในหลากหลายเวลา แต่ที่มามากที่สุดนั้น ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เร่ิมต้นสอนน้องซักคนหนึ่ง วันที่มาเรียนช่วงแรกนั้น เป็นช่วงเวลาที่พลังไฟในใจมันเรียกได้ว่า “ร้อนแรง” เพราะทุกอย่างพอเริ่มต้นมันมักจะมีพลังแฝงมาเสมอ
พี่ว่าเราทุกคนก็คงเคยรู้สึกอย่างนั้น พี่เองก็เคย ช่วงเวลาอย่างนี้มักจะเกิดขึ้นกับพี่ในช่วงเปิดเทอมช่วงแรกๆเสมอ ไม่รู้ว่าเป็นกันหรือเปล่า ประมาณว่าตอนเด็กๆ การเปิดเทอมวันแรกนั้น สมุดทุกวิชาใหม่หมด และแน่นอน ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกับทุกวิชาการเรียนในประเทศไทย มาเรียนในวันแรก สิ่งที่พี่จะต้องเจอเสมอคือ
“วัตถุประสงค์ในการเรียน”
จริงๆแล้ว มันเป็นสิ่งที่แอบค้างคาใจพี่อยู่ตลอดเหมือนกัน เพราะว่าก่อนที่จะเริ่มเรียนนั้น บางทีเราไม่เห็นจำเป็นจะต้องมานั่งจดอะไรประมาณนี้ออกมาเป็นข้อๆเลย ถ้าเราเรียนวิชาไหน แสดงว่าสิ่งที่เราต้องทำคือ เรียนรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ไม่ใช่เหรอ แต่ก็นั่นล่ะครับ นั่นคือช่วงเวลาที่พี่จะบรรจงเขียนลายมือที่สวยที่สุดลงไป เพราะว่านั่นคือหน้าแรก ประมาณว่าเป็นการเบิกต้นทางของเล่มน่ะครับ
ซึ่งสิ่งที่พี่ว่ามันท้าทายมากสำหรับตัวพี่คือ เราจะทำยังไงให้หน้าแรกของสมุดและความตั้งใจในการเขียนลายมือที่สวยๆนั้น ยังคงอยู่ไปจนถึงหน้าสุดท้าย เพราะส่วนใหญ่แล้ว เราลองมาดูกันสิ หน้าสุดท้ายของเทอม พอเวลามันผ่านไป เราจะเริ่มเขียนมันแบบขอไปทีขึ้นเรื่อยๆ
เชื่อมั้ยครับว่า พี่เองเคยเก็บเอาตรงนี้ไปคิดอยู่เหมือนกันนะในช่วงตอนเด็กๆ พี่มีความรู้สึกว่า จริงๆแล้วความยากที่สุดของการที่เรากำลังเดินไปหาอะไรบางอย่าง มันคือ
“เราจะยังคงมุ่งมั่น ตั้งใจ เหมือนวันแรกที่เราตั้งใจไปได้ตลอดแค่ไหน”
พี่เองเคยอ่านหนังสืออยู่หลายเล่ม เค้าบอกว่าถ้าคนเราจะเก่งอะไรแบบจริงๆจังๆซักอย่างหนึ่ง เราจะต้องใช้เวลาอยู่กับมันนานกว่าหมื่นชั่วโมง
“หมื่นชั่วโมง!!!”
สำหรับพี่ในช่วงเวลาที่อ่านนั้น พี่คิดเลยว่า มันนานไป หรือการที่เราอยู่กับอะไรอย่างนั้นเกินหมื่นชั่วโมงมันก็ต้องเก่งขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าไม่เก่งขึ้นสิแปลก จริงปะ
แต่ก็นั่นล่ะครับ พอเวลาผ่านไป ปัจจุบัน อยู่ๆพี่ก็กลับเอาคำๆนี้ลองมานั่งคิดเล่นๆดู ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยเอะใจอะไรเลย พี่ลองเอา 10,000 ชั่วโมง โดยที่คิดว่า ถ้าเกิดว่าคนเราอยู่กับงานที่เรารัก และมุ่งมั่นทำมัน โดยที่วันหนึ่ง เอาแบบเต็มที่เลยละกัน ทำหรือฝึกฝนวันละ 12 ชั่วโมง ก็จะได้ 834 วัน
จริงๆแล้ว มันเป็นถ้อยคำที่เปรียบเปรยมากกว่าน่ะครับ เพื่อให้เราคิดได้ว่า การที่เราจะเก่งอะไรซักอย่างนั้น มันต้องใช้เวลาอยู่กับมัน ใช้ความทุ่มเทสม่ำเสมอที่สุด และความสม่ำเสมอแบบที่ไม่ยอมลดละนั่นล่ะที่จะทำให้เราเก่งขึ้นเรื่อยๆอย่างที่เราเองคิดไม่ถึง
ซึ่งอันนี้พี่ไม่ได้เถียงข้อความนี้แต่อย่างใดครับ พี่เองก็เป็นหนึ่งในคนที่ขลุกอยู่กับการสอนการทำงานมามากกว่าวันละ 12 ชั่วโมงมาตลอด 14 ปีที่ทำงานมา และคำที่พี่ท่องเอาไว้กับตัวเองอยู่เสมอคือ
“พี่ต้องขยันขึ้นกว่าเมื่อวาน เพราะพี่อยากเก่ง”
พี่คนหนึ่งล่ะครับ ไม่มีพรสวรรค์อย่างที่คนอื่นเค้าว่ากัน พี่เชื่อในพรแสวงครับ กว่า 14 ปีที่สอนน้องๆมา พรแสวงสำคัญมาก ทุกคนชนะได้ด้วยพรแสวง น้องหลายคนที่เก่งจนเป็นไอดอลของคนหมู่มากที่เห็นผลงานเค้า ต่างเข้ามาชื่นชมในตัวน้องที่พี่เคยสอนว่าเก่งอย่างนั้น มีพรสวรรค์มากเลยนะคนนี้
พี่เองอยากจะบอกครับว่า คนเก่งหลายคนที่เราเห็นเค้าและคิดว่าเค้ามีพรวสรรค์น่ะครับ จริงๆแล้ว แค่เราไม่ได้เห็นในช่วงเวลาที่เค้ามุ่งมั่นในพรแสวงเท่านั้นเอง
ถ้าน้องอยากเก่ง น้องต้องไม่ใช่แค่อยากครับ น้องต้องสู้ อดทน และเดินหน้าอย่างเดียว สิ่งที่เราทำมันไม่ได้ ถ้ามากองอยู่ตรงหน้า
นั่นไม่ใช่อุปสรรคครับ นั่นคือ “โจทย์ของความเก่ง”
ที่เราต้องเดินฝ่ามันไปและแก้มันให้ได้ ถ้าเราสามารถแก้ได้ทุกโจทย์อย่างชำนาญ และตื่นเช้ามาท่องกับตัวเองทุกวันว่า
“วันนี้ ฉันจะขยันและอยากเก่งขึ้นให้ได้”
พร้อมกับความพยายาม เท่านี้ล่ะครับ น้องจะต้องเป็นคนที่เก่งในวันข้างหน้าแน่นอน โดยที่ไม่ต้องไปนับชั่วโมงอะไรทั้งสิ้นเลย และคำตอบของความเก่งจะอยู่ระหว่างทางที่น้องเดินในทุกๆวันครับ
พี่นัน นันทวัชร์ ชัยมโนนาถ
www.alepaint.com
https://www.facebook.com/alepaint.nun
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น